สาคูแคนตาลูป



ส่วนผสม

- สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วย

- แคนตาลูป 1 ลูก

- กะทิ 1 1/2 ถ้วย

- น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย

- น้ำเปล่า 3 1/2 ถ้วยเกลือป่น 1/2 ช้อนชา


วิธีทำ

1. นำแคนตาลูปมาผ่าครึ่ง ควักไส้ออกแล้วตักเป็นลูกกลมๆ พักไว้

2. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง นำน้ำตาลทรายใส่หม้อใส่น้ำลงไปประมาณ 1/2 ถ้วย คนให้น้ำตาลละลายเป็นน้ำเชื่อม ตั้งไฟจนน้ำเชื่อมเดือดสักพักก็ยกลง เทใส่ถ้วย พักไว้

3. นำกะทิใส่หม้อแล้วนำมาตั้งเตาที่ไฟปานกลางต่อ รอจนกะทิเดือดก็ใส่เกลือลงไป ตั้งไฟจนกะทิเดือดสักพักก็ยกลง เทใส่ถ้วย พักไว้

4. นำสาคูใส่กระชอนไปล้างผ่านน้ำ (ไม่ต้องคนนะคะ) และสะเด็ดน้ำพักไว้ จากนั้น เปิดเตาที่ไฟปานกลาง ใส่น้ำลงไปประมาณ 3 ถ้วย รอจนน้ำเดือดก็ใส่สาคูลงไป หมั่นคนเรื่อยๆ

5. เมื่อสาคูเริ่มสุกก็ลดไฟลงเหลือไฟอ่อน (สังเกตว่ารอบนอกสาคูจะใสขึ้นและสาคูเริ่มหนืด) คนไปเรื่อยๆ สักพักจนสาคูสุกใสก็ปิดเตาและยกลงได้

6. นำสาคูที่ได้มาใส่กระชอน นำไปล้างน้ำเอาเมือกแป้งออกแล้วจึงนำมาใส่ถ้วยไว้ จากนั้น เอาน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้เทใส่ลงไป คนให้น้ำเชื่อมและสาคูเข้ากัน ชิมรสหวานตามชอบ

7. ตักสาคูใส่ถ้วย นำแคนตาลูปที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตักกะทิราดลงไป คนให้เข้ากัน

8. ราดหน้าด้วยกะทิอีกครั้ง จากนั้นก็ยกเสริฟได้เลยค่ะ
แหล่งที่มา
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมต้มขาว


ขนมต้มขาว เป็นขนมที่ใช้ในการบวงสรวงศาลพระภูมิ ตัวขนมทำจากแป้งข้าวเหนียว ส่วนไส้ทำจากมะพร้าวกวนกับน้ำตาล เป็นไส้กระฉีก ควรเลือกมะพร้าวทึนทึกจะทำให้ขนมนุ่ม ถ้าแก่ไปจะแข็ง ไม่อร่อย

ส่วนผสม

* แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย

* หัวกะทิ (มะพร้าวขูดขาว 50 กรัม) 2 ช้อนโต๊ะ

* มะพร้าวขูดขาว 100 กรัม

* มะพร้าวขูดขาว (นำไปนึ่ง 10 นาที ) 1 ถ้วย

* น้ำตาลปึก 100 กรัม เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

* น้ำใบเตยคั้นข้น ๆ 1/4 ถ้วย


วิธีทำ

1. ใส่มะพร้าวขูดขาว 100 กรัม กับน้ำตาลลงในกระทะทอง ตั้งไฟกลาง กวนให้เหนียว ยกลง ทิ้งไว้ให้อุ่น ปั้นเป็นก้อน กลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. นำไปอบควันเทียน 1 คืน เป็นไส้ขนม


2. ผสมมะพร้าวขูดขาว 1 ถ้วย กับเกลือให้ทั่ว พักไว้


3. นวดแป้งข้าวเหนียวกับหัวกะทิและน้ำใบเตยให้นุ่ม พักไว้


4. นำแป้งปั้นเป็นก้อนกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1/2 นิ้ว แผ่เป็นแผ่นกลมใส่ไส้หุ้มให้มิด


5. นำไปต้มให้สุกจนขนม ลอย ตักขึ้น คลุกกับมะพร้าวที่เตรียมไว้ ให้ทั่ว (น้ำที่ต้มขนมจะต้องเดือด และเมื่อสุกให้ตักขึ้นคลุกมะพร้าว ทันที )


แหล่งที่มา


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ทับทิมกรอบ



ส่วนผสม
* แห้วต้มผ่าสี่ 1 ถ้วย
* แป้งมัน 1/2 ถ้วย
* น้ำตาลทราย 150 กรัม
* น้ำทำน้ำเชื่อม 3/4 ถ้วย
* กะทิ 3/4 ถ้วย
* เกลือ 1/4 ช้อน
*ชาน้ำแข็ง
*สีผสมอาหารสีแดง หรือสีอื่นๆตามชอบ
วิธีทำ
1. ละลายสีแดงกับน้ำเล็กน้อย แช่แห้วพอติดสี ตักขึ้นคลุกแป้งให้ติดมากๆ ใส่กระชอนร่อนให้แป้งร่วน
2. ต้มน้ำ 3 ถ้วยให้เดือด พอน้ำเดือดแล้วให้ใส่แห้วที่คลุกแป้งไว้ลงไปต้มประมาณ 3 นาทีจนแป้งใสและแห้ว
ลอยขึ้นมา ตักแห้วที่สุกแล้วขึ้นมาแช่น้ำเย็นให้แป้งอยู่ตัวซักพักก็สะเด็ดน้ำ
3. ทำน้ำเชื่อมโดยใส่น้ำตาลทรายและน้ำเปล่าลงในหม้อ คนจนน้ำตาลละลายเป็นน้ำเชื่อมก็เทใส่ถ้วย พักไว้
4. ทำน้ำกะทิโดยเทกะทิใส่หม้อ เติมเกลือป่นลงไป คนเรื่อยๆ อย่าให้กะทิเดือดจนแตกมัน พอกะทิเดือดซักพักก็ปิดเตาได้
5. จากนั้น ตักทับทิมกรอบใส่ถ้วย ใส่น้ำเชื่อมและน้ำกะทิลงไป ชิมรสหวานตามชอบ แล้วก็ใส่น้ำแข็งลงไป
แหล่งที่มา
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ครองแครงกะทิ

ส่วนผสมเครื่องปรุงตัว

-แป้งแป้งข้าวจ้าว 1 1/2 ถ้วยตวง

-แป้งท้าวยายม่อม 1/4 ถ้วยตวง

น้ำกะทิ 1 1/2 ถ้วยตวง


เครื่องปรุง


- กะทิหัวกะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง

- น้ำตาลทรายขาว 1/2 ถ้วยตวง

- เกลือป่น 2 ช้อนชา

- งาขาวคั่ว โรยหน้าขนม 1/4 ถ้วยตวง

- น้ำตาลทราย โรยหน้าขนม 1/4 ถ้วย


เครื่องมือเฉพาะพิมพ์


-ไม้สำหรับกดแป้งให้เป็นตัว ครองแครง

-แป้งมันสำหรับทำนวล


วิธีการทำ

1. ละลายแป้งทั้ง 2 ชนิดกับน้ำกะทิให้เข้ากัน กวนใน กระทะทองพอแห้ง

2. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซม. เวลา ปั้นใช้มือแตะแป้งมันเพื่อไม่ให้แป้งติดมือ กดแป้งลงบน พิมพ์ครองแครงด้วยหัวแม่มือ แล้วม้วนแป้ง แป้งจะหลุด จากพิมพ์เป็นรูปตัวหอย วางในถาดปูผ้าขาวบางทำจนหมด

3. นำตัวหอยไปนึ่งจนสุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที หรือต้มในน้ำเดือดจนแป้งสูกลอย ตักขึ้นแช่น้ำเย็น วิธีทำน้ำกะทิ1. ผสมน้ำกะทิ น้ำตาล และเกลือ คนให้เข้ากันแล้วกรอง นำ ไปตั้งไฟอ่อน ๆ จนเดือด 2. เมื่อน้ำกะทิเดือดใส่ตัวหอยที่นึ่งสุกหรือต้มแล้วลงไป ยกลง ตักขนมใส่ถ้วยเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยงาคั่วและน้ำตาลทราย เพิ่มเติมถ้าใช้แป้งมันทำตัวครองแครง ไม่ต้องนำขึ้นกวน แต่นวดกับน้ำร้อนจนปั้นได้ กดเป็นตัว แล้วนำไปต้มจนสุก จะได้ครองแครง ที่ตัวใสและเหนียว เรียกกันว่า "ครองแครงแก้ว"ลักษณะของขนม เป็นตัวหอยไม่เละเนื้อจะอ่อนนุ่ม มีความ เหนียวเล็กน้อย รสหวาน และมันจากกะทิ เค็มเล็กน้อย


แหล่งที่มา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เกณฑ์การประเมินบล็อกของตัวเอง

เนื้อหาเกี่ยวกับ

การนำเสนอสูตรการทำขนมไทยและเบอร์เกอรี่ซึ่งมีวิธีขั้นตอนการทำที่ระเอียดและเข้าใจง่ายเหมาะสำหรับผู้ที่อยากจะลองหัดทำขนมทานเองอีกทั้งที่อยากจะเข้ามาค้นหาวิธีการทำขนมแบบใหม่หรือเคร็ดลับดีๆๆ

วัตถุประสงค์/เป้าหมาย

- เพื่อศึกษาวิธีการทำขนมไทยและเบอร์เกอรี่
- เพื่อให้บุคคลที่สนใจในการทำขนมเข้ามาศึกษา
- เพื่อให้ผู้ที่อยากลองทำขนมทานเองสามารถทำได้เพราะมีขั้นในตอนการทำที่เข้าใจง่าย

เกณฑ์การประเมินบล็อก

1. เนื้อหาเป็นประโยชน์ (ให้คะแนน 0-5) -------->> 4.5 คะแนน

2. ความน่าสนใจ (0-5) -------->> 4 คะแนน

3. ความทันสมัย (0-5) --------->> 4 คะแนน

4. การออกแบบ/ความสวยงาม (0-5) ----------->> 5 คะแนน

5. ความเรียบง่าย(อ่านง่าย เข้าใจง่าย) ---------->> 5 คะแนน

สรุปคะแนนที่ได้ 22.5 คะแนน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมชั้น



ส่วนผสม


* หัวกะทิ 4 ถ้วย
* น้ำตาลทราย 3 ถ้วย
* น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย
* แป้งถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
* แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วย
* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
* แป้งมัน 2 ถ้วย
* ใบเตย 10 ใบ คั้นน้ำข้น ๆ

วิธีทำ


1. เชื่อมน้ำเชื่อมโดยใช้น้ำ 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 3 ถ้วย

2. ผสมแป้งทั้ง 4 ชนิด เข้าด้วยกัน แล้วนวดกับกะทิ โดยค่อย ๆ ใส่กะทิทีละน้อย ๆ นวดนาน ๆ จนกะทิหมด แล้วใส่น้ำเชื่อมคนให้เข้ากัน พอให้แป้งติดหลังมือนิดหน่อย

3. กรองแป้งทั้งหมด แล้วแบ่งแป้งครึ่งหนึ่งเป็นสีขาว อีกครึ่งหนึ่งใส่ใบเตยหรือสีตามชอบ

4. นำถาดไปนึ่งแล้วทาน้ำมันให้ทั่ว ใส่แป้งสีขาวประมาณ 1/2 ถ้วย แล้วนึ่งให้สุกประมาณ 5 นาที ชั้นที่ 2 ใส่สีเขียว แล้วนึ่งอีกประมาณ 5 นาที ทำเช่นนี้ไปจนหมดแป้ง แล้วให้ชั้นสุดท้ายเป็นสีเข้มกว่าชั้นอื่น ๆ เมื่อสุกยกลงทิ้งให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้นตามต้องการ

แหล่งที่มา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS



เครื่องปรุง + ส่วนผสม

ส่วนผสมบัวลอย

* แป้งข้าวเหนียว 2 ถ้วยตวง
* เผือกนึ่งสุกบดละเอียด 1 ถ้วยตวง (กรณีต้องการบัวลอยหลายสีสามารถเลือกใช้ฟักทอง เพื่อทำบัวลอยสีเหลือง, ใบเตย เพื่อทำบัวลอยสีเขียว, อื่นๆ)
* น้ำเปล่า 1/4 ถ้วยตวง


ส่วนผสมน้ำกะทิ

* กะทิ 2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลมะพร้าว 100 กรัม
* น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
* เกลือป่น 1 ช้อนชา
* เนื้อมะพร้าวอ่อน, ไข่ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
* งาขาว (สำหรับแต่งหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้




วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. ทำบัวลอยโดยผสมแป้งข้าวเหนียว, เผือกนึ่งและน้ำเปล่าเข้าด้วยกัน นวดจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันเป็น เนื้อเดียว จากนั้นจึงนำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ระหว่างปั้นนั้น ควรโรยด้วยเศษแป้งข้าวเหนียวเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกบัวลอยติดกัน (ถ้าต้องการทำบัวลอยหลายสีก็ใช้ส่วนผสมเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นฟักทองสำหรับสีเหลือง หรือใบเตยสำหรับสีเขียว เป็นต้น)

2. ต้มน้ำในหม้อขนาดกลาง รอจนเดือดจึงใส่ลูกบัวลอยที่ปั้นไว้แล้ว เมื่อบัวลอยสุกให้นำออกมาแช่ในน้ำเย็น (บัวลอยที่สุกแล้วจะลอยขึ้น)

3. ทำน้ำกะทิโดยผสม กะทิ, น้ำตาลมะพร้าว, น้ำตาลทรายและเกลือป่นลงไป ควรใส่น้ำตาลทรายแค่ครึ่งเดียวก่อน ถ้ายังหวานไม่พอจึงค่อยใส่เพิ่มลงไป ต้มจนเดือด จึงหรี่ไฟลง นำบัวลอยที่ต้มไว้แล้วใส่ลงไปในน้ำกะทิ ต้มต่ออีกสักพักจึงปิดไฟ ถ้ามีมะพร้าวอ่อนก็ใส่ได้เลย พร้อมลูกบัวลอย (กรณีต้องการทำบัวลอยไข่หวาน ก็ตอกไข่ใส่ไปในหม้อหลังจากที่ใส่บัวลอยลงไป รอจนไข่สุกจึงปิดไฟ)

4. ตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยงาขาว เสริฟขณะร้อนหรือรอให้เย็นก็ได้

แหล่งที่มา
http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_dumplings_in_coconut_cream_th.html

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมหม้อแกง

เครื่องปรุง + ส่วนผสม


* ถั่วเขียว 250 กรัม (เผือก, เม็ดบัว, อื่นๆ)
* น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
* น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
* ไข่เป็ด 3 ฟอง
* หอมแดงซอยละเอียด 3 ลูก
* ใบเตย 3 ใบ


วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. >> นำหอมแดงไปเจียวในน้ำมันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ )
2. >> นำถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้ำและนำไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนำไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนำเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ
3. >>ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้ำตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยำโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้ำตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยำต่ออีกจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก
4. >>เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
5. >>นำส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อนำไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานำมากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแยกชั้นเมื่อนำไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี
6.>> นำส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนำหอมเจียวไปโรยหน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที
7.>> ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้ เวลาเสริฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสม ถ้าอบโดยใส่แบบอื่นๆไว้ ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสริฟได้พร้อมแบบทันที


แหล่งที่มา
http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_baked_mung_bean_cake_th.html
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมตะโก้





ส่วนผสมตัวตะโก้

- แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วยตวง

- แป้งถั่วเขียว 1/2 ถ้วยตวง

- น้ำเปล่า 5 ถ้วยตวง ค่อยๆ เทผสมค่ะ

- น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง

- ข้าวโพดต้มแล้วนำมาฝาน เป็นเม็ดๆ 1 1/2 ถ้วยตวง


ส่วนหน้าตะโก้

- กะทิ 5 ถ้วย คั้นจากมะพร้าวประมาณ 2 กก.
- แป้งข้าวเจ้า 1 1/3 ถ้วยตวง
- เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วเขียวคั่วนำเปลือกออกเอาแต่เม็ดข้างในค่ะ (คงนึกภาพออกนะคะ)
อุปกรณ์ที่ต้องใช้

กระทงสำหรับเทขนมใส่ จะประกอบด้วย
1. ใบเตย (สด) ตัดเป็นใบยาวๆ
2. พิมพ์สำหรับตัดทำจากกระดาษ เพื่อที่จะให้พิมพ์ใส่ขนมแต่ละอันออกมาเท่าๆ กันค่ะ จากนั้นก็นำใบเตยเช็ดให้สะอาดรอให้แห้งแล้วนำมาซ้อนกัน 5-10 ใบ แล้วนำพิมพ์ที่ทำจากกระดาษมาวางทับบนแล้วตัดตามพิมพ์ค่ะ
3. กรรไกร หรือมีดบางๆ4. แม๊ก ที่ใช้แม๊กกระดาษ

ขั้นแรกต้องกวนตัวตะโก้ก่อนค่ะวิธีทำมีดังนี้

- เอาน้ำเปล่าที่เตรียมไว้ใส่หม้อ เทแป้งข้าวจ้า่ว แป้งถั่วเขียวลงไป คนให้เข้ัากันหรือแป้งละลายกับน้ำจนหมด
- ใส่น้ำตาลคนให้น้ำตาลละลาย จากน้ำนำเทลงกะทะที่เตรียมไว้สำหรับกวนค่ะ- เอากะทะตั้งไฟใช้ไฟกลางๆ กวนไปเรื่อยๆ จนตัวแป้งสุก ดูใสๆ เริ่มเหนียว- เทข้าวโพดที่ฝานเรียบร้อยแล้วลงไปกวนต่อค่ะจน ดูตัวขนมสุกเต็มที่ (รู้สึกว่ามันจะเหนียวขึ้นค่ะ)
- ลดไฟใช้ไฟอ่อนๆ แล้วเริ่มตักตัวตะโก้ใส่ในกระทงที่เตรียมไว้ค่ะ เทเสร็จพักไว้ก่อนนะคะ ลงมือทำหน้าต่อค่ะ

วิธีทำหน้าตะโก้

- นำส่วนผสมหน้าตะโก้ทั้งหมดใส่รวมกันแล้วคนให้เข้ากัน ยกเว้นสเมล็ดถั่วเขียวคั่วค่ะ คนทุกอย่างละลาย เข้ากัน แล้วนำตั้งไฟ ใช้ไฟกลางๆ
- กวนไปเรื่อยๆ จนแป้งสุก ส่วนผสมข้นขึ้นเรื่อยๆ กวนจนข้นได้ที่ ลดไฟให้อ่อนสุด
- ตักหน้าตะโก้หยอดใส่บนตัวตะโก้เรื่อยๆ ระหว่างที่หยอดหยุดกวนเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันติดก้นกะทะทำให้ไหม้ ทำแบบนี้จนเสร็จค่ะ
- นำเมล็ดถั่วเขียวที่คั่วเอาเปลือกออกเรียบร้อยแล้วลงไป วางตรงกลางขนมในกระทงค่ะ กระทงละ 1 เมล็ดพอค่ะ
แหล่งที่มา
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

วุ้นกะทิ




  • ส่วนผสม

    ผงวุ้น 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำดอกไม้ 3 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
  • น้ำใบเตย 1 ถ้วยตวง
  • หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
  • เกลือป่น 1 ช้อนชา
  • แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนโต๊ะ
  • สีผสมอาหาร

    วิธีทำ

    ละลายผงวุ้นในน้ำดอกไม้ให้เข้ากัน ตั้งไฟอ่อนๆให้เดือดเติมน้ำตาลทราย คนให้ละลาย
    แบ่งวุ้นเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งใส่น้ำใบเตยตั้งไฟให้เดือด ยกลง
    วุ้นส่วนที่เหลือตั้งไฟอ่อนๆ ละลายแป้งข้าวเจ้าลงในหัวกะทิใส่เกลือคนให้เข้ากับแล้วใส่ลงในวุ้นที่ตั้งไฟรออยู่ รอให้เดือดยกลง
    เตรียมพิมพ์หรือถาดใส่วุ้นกะทิลงไปครึ่งหนึ่งให้วุ้นเริ่มแข็งตัวใส่วุ้นใบเตยรอให้เย็น สนิทดีแล้วจึงจัดใส่ภาชนะ
    อยากทานขนมไทยคราวหน้า อย่าลืมคิดถึง ขนมวุ้นกะทิ อร่อยๆนะคะ ^-^
  • แหล่งที่มา
  • http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_coconut_jelly_th.html
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลักการออกแบบและพัฒนาการนำเสนองานผ่านเว็บ(1)

1.ความเรียบง่าย (Simplicity)หมายถึง การจำกัดองค์ประกอบเสริมให้เหลือเฉพาะองค์ประกอบหลัก กล่าวคือในการสื่อสารเนื้อหากับผู้ใช้นั้น เราต้องเลือกเสนอสิ่งที่เราต้องการนำเสนอจริง ๆ ออกมาในส่วนของกราฟิก สีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ต้องเลือกให้พอเหมาะ ถ้าหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ได้รับการออกแบบที่ดี ได้แก่ เว็บไซต์ของบริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่น Apple Adobe Microsoft หรือ Kokia ที่มีการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวก

2.ความสม่ำเสมอ ( Consistency)หมายถึง การสร้างความสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นตลอดทั้งเว็บไซต์ โดยอาจเลือกใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ เพราะฉะนั้นการออกแบบเว็บไซต์ในแต่ละหน้าควรที่จะมีรูปแบบ สไตล์ของกราฟิก ระบบเนวิเกชั่น (Navigation) และโทนสีที่มีความคล้ายคลึงกันตลอดทั้งเว็บไซต์

3.ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity)ในการออกแบบเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือขององค์กรได้

4.เนื้อหา (Useful Content)ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาต้องเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เนื้อหาที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และไม่ไปซ้ำกับเว็บอื่น เพราะจะถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ แต่ถ้าเป็นเว็บที่ลิงค์ข้อมูลจากเว็บอื่น ๆ มาเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทราบว่า ข้อมูลนั้นมาจากเว็บใด ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาใช้งานลิงค์เหล่านั้นอีก

5.ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation)เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ระบบเนวิเกชั่นจึงเปรียบเสมือนป้ายบอกทาง ดังนั้นการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ดีเมื่อมีเนวิเกชั่นที่เป็นกราฟิกก็ควรเพิ่มระบบเนวิเกชั่นที่เป็นตัวอักษรไว้ส่วนล่างด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ยกเลิกการแสดงผลภาพกราฟิกบนเว็บเบราเซอร์

6.คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal)ลักษณะที่น่าสนใจของเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ แต่โดยรวมแล้วก็สามารถสรุปได้ว่าเว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น

7.ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compatibility)การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม นอกเหนือจากเว็บบราวเซอร์ ควรเป็นเว็บที่แสดงผลได้ดีในทุกระบบปฏิบัติการ สามารถแสดงผลได้ในทุกความละเอียดหน้าจอ ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากและกลุ่มเป้าหมายหลากหลายควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก

8.ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability)ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวก ๆ ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล ถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ

9.ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability)ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์อื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดจากลิงค์ ก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งพบได้บ่อยเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก


http://jiwjiw-tattoocolour.blogspot.com/2009/09/blog-post_5924.html
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การวิเคราะห์และประเมินผลงานสื่อนำเสนอแบบต่างๆ(1)


  • 1.หลักการออกแบบลักษณะการออกแบบที่ดี (Characteristics of Good Design)
  • - ควรเป็นการออกแบบที่เหมาะสมกับจุดประสงค์ของการนำไปใช้
  • - ควรเป็นการออกแบบที่มีสักษณะง่ายต่อการทำความเข้าใจ การนำไปใช้งานและกระบวนการผลิต
  • - ควรมีสัดส่วนที่ดีและเหมาะสมตามสภาพการใช้งานของสื่อ
  • - ควรมีความกลมกลืนของส่วนประกอบ ตลอดจนสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของการใช้และการผลิตสื่อชนิดนั้น
    2.การประเมินผลสื่องานสื่อนำเสนอ หมายถึง การวัดผลสื่อ
    มาตีความหมาย (Interpretation) และตัดสินคุนค่า (Value judgment) เพื่อที่จะรู้ว่าสื่อนั้นทำหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ได้มากแค่ไหน มีคุณภาพดีหรือไม่เพียงไร มีลักษณะถูกต้องตามที่ต้องการ หรือไม่ประการใด
    การตรวจสอบสื่อการเรียนการสอน การตรวจสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ คือ
  • 1. การตรวจสอบโครงสร้างภายในสื่อ- ลักษณะสื่อ- เนื้อหาสาระ
  • 2.ตรวจสอบคุณภาพสื่อ ในการตรวจสอบคุณภาพสื่อ เครื่องมือที่นิยมใช้กันมากมี 2 แบบ คือ
  • - แบบทดสอบ
  • - แบบสังเกต
  • 3. การทดสอบสื่อ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ
  • 3.1 การทดสอบหนึ่งต่อหนึ่ง โดยให้ตัวแทนเป้าหมาย 1 คนเรียนกับสื่อ ในระหว่างการทดสอบใช้สื่อให้ผู้ตรวจสอบทำการสังเกตการสื่อการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิดโดยใช้แบบสังเกต และบันทึกแบบสังเกตเพื่อเป็นข้อมูลในการปรับปรุงแก้ไขสื่อ
  • 3.2 การทดสอบแบบกลุ่มเล็ก ตัวแทนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มเล็ก จำนวนประมาณ 5-10 คน การทดสอบสื่อในขั้นนี้ บางครั้งอาจจะต้องการทำมากกว่าหนึ่งครั้ง
  • 3.3 แบบทดสอบกลุ่มใหญ่ ทดสอบด้วยกลุ่มตัวแทนกลุ่มเป้าหมายกลุ่มใหญ่ประมาณ 30 คน เป็นขั้นตอนการทดสอบที่หลังจากสื่อได้รับการปรับปรุงแก้ไขจนมีคุณภาพมาตราฐานสูง

  • แหล่งที่มา
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมลูกชุบ





  • ส่วนผสมของขนม

    1.ถั่วเขียวเลาะเปลือก 1 1/3 ถ้วยตวง
    2.น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
    3.หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง
    4.วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
    5.น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง


    วิธีทำ

    1. แช่ถั่วเขียวประมาณ 1-2 ชั่วโมง นึ่งให้สุกนุ่ม แล้วบดให้ละเอียด
    2. หัวกะทิตั้งไฟอ่อนๆ ใส่นำตาลทรายลงเคี่ยวให้นำตาลละลายหมด ใส่ถั่วลงกวนกับกะทิตั้งไฟอ่อนๆ กวนให้แห้งจนถั่วล่อนออกจากกระทะ
    3. เทถั่วที่กวนได้ที่แล้วลงในถาดหรือชามพักไว้ให้เย็น
    4.ปั้นถั่วเป็นรูปผลไม้เล็กๆ ตามต้องการ แล้วระบายสีผลไม้ที่ปั้นไว้ให้เหมือนจริงพักไว้ให้สีแห้ง
    5.ผสมผงวุ้นกับน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟอ่อนๆ จนวุ้นละลายหมดยกลง วางพักไว้สักครู่6.นำผลไม้ที่ระบายสีไว้ ชุบวุ้นให้ทั่ว พักไว้ให้แห้งแล้วชุบอีก 2 ครั้ง ปล่อยให้แห้งจึงนำไปตกแต่งให้สวยงาม

    แหล่งที่มาของข้อมูล
    http://www.sakid.com/2007/03/05/5945/
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การวิเคราะห์และประเมินผลงานสื่อนำเสนอแบบต่างๆ



1.ความเรียบง่าย:จัด ทำสไลด์ให้ดูเรียบง่ายที่สุดเท่าที่ทำได้ เช่น ใช้สีอ่อนเป็นพื้นหลังเพื่อไม่รบกวนสายตาในการอ่าน และสามารถเห็นเนื้อหาได้อย่างชัดเจน หรือใช้พื้นหลังตามลักษณะเนื้อหา


2.มี ความคงตัว(consistent):เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหา ในเรื่องเดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร แต่หากต้องการเน้นจุดสำคัญ หรือเป็นเนื้อหาย่อยออกไปจะสามารถเปลี่ยนบางสิ่ง เช่น สีตัวอักษรในสไลด์ให้ดูแตกต่างไปได้บ้าง หรืออาจมีการเปลี่ยนสีพื้นหลังให้แตกต่างจากเนื้อหาสักเล็กน้อยก็อาจทำได้ เช่นกัน


3.ใช้ความสมดุล:การออกแบบส่วนประกอบของสไลด์ให้มีลักษณะ สมดุลมีแบบแผน (formal balance)หรือสมดุลไม่มีแบบแผน (informal balance) ก็ได้ แต่ต้องระวังสไลด์ทุกแผ่นให้มีลักษณะของความสมดุลที่เลือกใช้ให้เหมือนกัน เพื่อความคงตัว


4.มีแนวคิดเดียวในสไลด์แต่ละแผ่น:ข้อความ และภาพที่บรรจุในสไลด์แผ่นหนึ่งๆ ต้องเป็นเนื้อหาของแต่ละแนวคิดเท่านั้น หากเนื้อหานั้นมีหลายแนวคิด หรือเนื้อหาย่อยต้องใช้สไลด์แผ่นใหม่


5.สร้าง ความกลมกลืน:ใช้แบบอักษรและภาพกราฟิกให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหา ใช้แบบอักษรที่อ่านง่าย และใช้สีที่ดูแล้วสบายตา เลือกภาพกราฟิกที่ไม่ซับซ้อน และให้ถูกต้องตรงตามเนื้อหา รวมถึงให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เป็นทางการ หรือไม่เป็นทางการด้วย


6.แบบ อักษร:ไม่ใช้อักษรมากกว่า 2 แบบในสไลด์เรื่องหนึ่ง โดยใช้แบบหนึ่งเป็นหัวข้อ และอีกแบบหนึ่งเป็นเนื้อหา หากต้องการเน้นข้อความตอนใดให้ใช้ตัวหนา (bold) หรือตัวเอน (italic) แทนเพื่อการแบ่งแยกให้เห็นความแตกต่าง


7.เนื้อหา และจุดนำข้อความ:ข้อความในสไลด์ควรเป็นเฉพาะหัวข้อ หรือเนื้อหาสำคัญเท่านั้น โดยไม่มีรายละเอียดของเนื้อหา และควรนำเสนอเป็นแต่ละย่อหน้า โดยอาจมีจุดนำข้อความอยู่ข้างหน้า เพื่อแสดงให้ทราบถึงเนื้อหาแต่ละประเด็น และไม่ควรมีจุดนำข้อความมากกว่า 4 จุดในสไลด์แผ่นหนึ่ง โดยสามารถใช้ต้นแบบสไลด์ที่มีจุดนำข้อความใน Auto Layout เพื่อเพิ่มจุดนำข้อความให้ปรากฏขึ้นหน้าข้อความแต่ละครั้งเพื่อดึงดูดความ สนใจของผู้รับฟังการนำเสนอ อาจจะใช้การจางข้อความ (dim body text) ในข้อความที่บรรยายไปแล้วเพื่อให้มีเฉพาะจุดนำข้อความ และเนื้อหาที่กำลังนำเสนอเท่านั้นปรากฏแก่สายตา


8.เลือกใช้กราฟิก อย่างระมัดระวัง:การใช้กราฟิกที่เหมาะสมจะสามารถเพิ่มการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิผล แต่หากใช้กราฟิกที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาจะทำให้การเรียนรู้นั้นลดลง และอาจทำให้สื่อความหมายผิดไปได้


9.ความคมชัด(resolution)ของภาพ:เนื่องจากความคมชัดของจอมอนิเตอร์มีเพียง 72-96 DPI เท่านั้น
ภาพกราฟิก ที่นำเสนอประกอบในเนื้อหาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก ควรใช้ภาพในรูปแบบ JPEG ที่มีความคมชัดปานกลาง และขนาดไม่ใหญ่มากนัก ประมาณ 20-50 KB ซึ่งท่านควรทำการบีบอัด หรือcompress และลดขนาดภาพก่อนเพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่ในการเก็บบันทึก และการจัดส่งไฟล์ผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e- mail) หรือการอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์จะสามารถทำได้ไวยิ่งขึ้น


10.เลือกต้นแบบ สไลด์ และแบบอักษรที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ร่วม:เนื่องจากการนำเสนอต้องมีการเชื่อมต่อ คอมพิวเตอร์เข้ากับอุปกรณ์ร่วม เช่น เครื่องแอลซีดี หรือโทรทัศน์เพื่อเสนอข้อมูลขยายใหญ่บนจอภาพ ดังนั้น ก่อนการนำเสนอควรทำการทดลองก่อนเพื่อให้ได้ภาพบนจอภาพที่ถูกต้องเหมาะสม เพราะว่าเมื่อฉายแล้วเสี้ยวซ้ายของสไลด์จะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลักของอัตรา ส่วน


แหล่งที่มา

http://jiwjiw-tattoocolour.blogspot.com/2009/09/blog-post_3656.html

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

หลักการออกแบบและพัฒนาการนำเสนองานผ่านเว็บ

1. ความเรียบง่าย (Simplicity)หมายถึง การจำกัดองค์ประกอบเสริมให้เหลือเฉพาะองค์ประกอบหลัก คือในส่วนของกราฟิก สีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ที่จะนำมาประกอบเสริมในการนำเสนอนั้นต้องเลือกให้พอเหมาะ ถ้าหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้ โดยการออกแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวก

2. ความสม่ำเสมอ ( Consistency)หมายถึง การสร้างความสม่ำเสมอให้เกิดขึ้นตลอดทั้งเว็บไซต์ โดยอาจเลือกใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์ก็ได้ เพราะถ้าหากว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันมากจนเกินไป อาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่ และความสมำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอสไลด์ซึ่งเป็นเนื้อหาในเรื่อง เดียวกัน คือ ต้องมีความคงตัวในการออกแบบสไลด์ ซึ่งหมายถึงต้องใช้รูปแบบสไลด์เดียวกันทุกแผ่นที่เกี่ยวกับเนื้อหานั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนสี พื้นหลัง หรือขนาดและแบบตัวอักษร โดยอาจจะมีการเน้นในจุดที่สำคัญเช่นการเล่นสีตัวอักษรหรือสีสไลด์

3. ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity)ในการออกแบบเว็บไซต์ต้องคำนึงถึงลักษณะขององค์กรเป็นหลัก เนื่องจากเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือของ องค์กรได้

4. เนื้อหา (Useful Content)ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในเว็บไซต์ เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์และได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้พัฒนาต้องเตรียมข้อมูลและเนื้อหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ถูกต้องและสมบูรณ์ เนื้อหาที่สำคัญที่สุดคือเนื้อหาที่ทีมผู้พัฒนาสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง และไม่ไปซ้ำกับเว็บอื่น เพราะจะถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้ใช้ให้เข้ามาเว็บไซต์ได้เสมอ แต่ถ้าเป็นเว็บที่ลิงค์ข้อมูลจากเว็บอื่น ๆ มาเมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ทราบว่า ข้อมูลนั้นมาจากเว็บใด ผู้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องกลับมาใช้งานลิงค์เหล่านั้นอีก

5. ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation)เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญต่อเว็บไซต์มาก เพราะจะช่วยไม่ให้ผู้ใช้เกิดความสับสนระหว่างดูเว็บไซต์ ระบบเนวิเกชั่นจึงเปรียบเสมือนป้ายบอกทาง ดังนั้นการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ดีเมื่อมีเนวิเกชั่นที่เป็นกราฟิกก็ควรเพิ่มระบบเนวิเกชั่นที่ เป็นตัวอักษรไว้ส่วนล่างด้วย เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ยกเลิกการแสดงผลภาพกราฟิกบนเว็บเบรา เซอร์

6. คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal)ลักษณะที่น่าสนใจของเว็บไซต์นั้น ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเป็นสำคัญ แต่โดยรวมแล้วก็สามารถสรุปได้ว่าเว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น

7. ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่าง ๆ (Compatibility)การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม นอกเหนือจากเว็บบราวเซอร์ ควรเป็นเว็บที่แสดงผลได้ดีในทุกระบบปฏิบัติการ สามารถแสดงผลได้ในทุกความละเอียดหน้าจอ ซึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่มีผู้ใช้บริการมากและกลุ่มเป้าหมายหลากหลายควรให้ ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มาก

8. ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability)ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ต้องออกแบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวก ๆ ไม่มีมาตรฐานการออกแบบและระบบการจัดการข้อมูล ถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ

9. ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability)ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์อื่นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ปัญหาที่เกิดจากลิงค์ ก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งพบได้บ่อยเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก

ที่มาจาก :
[1] http://baristaa.blogspot.com/2009/09/blog-post_02.html
[2] http://piyadanai.blogspot.com/2009/09/blog-post.html
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขนมเทียน

ส่วนผสมของไส้


- น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
- หอมเจียว ? ถ้วย หรือกระเทียม พริกไทย
- เกลือ 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย ? ถุง
- น้ำตาลปีบ 3 ช้อนโต๊ะ
- พริกไทย 2 ช้อนชา


วิธีทำ

1 นำถั่วทองไปแช่น้ำไว้ 3 ชั่วโมง
2 นำถั่ว 1 ถ้วยไปนึ่งให้สุก
3 ตำถั่วให้ละเอียด
4 ตั้งกะทะเจียวกระเทียมพอเหลือง
5 ใส่ถั่วทองในกะทะ ใส่น้ำตาล เกลือ พริกไทย ชิมรสตามชอบผัดไปจนแห้ง
6 นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่


ส่วนผสมแป้ง

- แป้งอเนกประสงค์ (แป้งข้าวเหนียว) 500 กรัม (ถ้าจะทำขนมเข่งสีดำ ใช้แป้งข้าวเหนียวดำ 1 ? ถ้วย ผสมแป้งข้าวเหนียวขาว 3 ถ้วย)
- น้ำกระทิ 3 ถ้วย
-น้ำตาลปีบ 1 ถ้วย

วิธีทำ

เทแป้งใส่ชาม ค่อยๆ บี้น้ำตาลผสมไปกับแป้ง
ค่อยๆ เทกระทิใส่แล้วนวดให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง
เอากระทงใบตองแห้งทาน้ำมันให้ทั่ว
เรียงกระทงในลังถึง หรือถาด หยอดน้ำแป้งที่ผสมไว้ก้นกระทงเล็กน้อย
วางไส้ถั่วลงกลางกระทง
หยอดแป้งให้ท่วมไส้ถั่วจนเกือบเต็มกระทง
นำไปนึ่งในลังถึงที่ตั้งจนน้ำเดือดแล้ว ประมาณ 30 นาที


เห็นกรรมวิธีการทำแล้วต้องขอบอกเลยว่า ถ้าคนทำไม่มีความรักความอดทนใส่ลงไปด้วย คงไม่มีวันได้ทานขนมอร่อยๆ อย่างแน่นอน ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะว่า ต้องใช้เวลากับการทำขนมกันเป็นวันๆ ทีเดียวกว่าจะได้มาแจกจ่ายไหว้เจ้า ให้เรารับประทานกันเป็นกระจาดๆ อย่างที่เห็น ทำเสร็จแล้ว ถ้ายังมีเหลือเก็บข้ามวันข้ามคืน ก็อย่าเอาขนมใส่ในที่อับๆ เชียวค่ะ ให้เรียงในกระจาดหรือถาดแล้วหาตาข่ายมาคลุมไว้ มิเช่นนั้นทิ้งไว้ไม่ทาน ขนมจะเป็นราได้ เสียดายแย่เลยค่ะ

http://www.hilunch.com/ka-nom-tien

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สังขยาฟักทอง


เครื่องปรุงและส่วนผสม


* ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)
* ไข่่ 4 ฟอง
* หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง
* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง
* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา
* น้ำปูนใส


วิธีทำ

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ (เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)
2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่, หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี
3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ 20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้สังขยาเละ
ที่มา : EzyThaiCooking.com
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แนะนำตัว


ชื่อ นางสาวผึ้งพร คำภูเงิน


รหัสนิสิต 50011210125


สาขา วิทยาการคอมพิวเตอร์


คณะ วิทยาการสารสนเทศ
  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS